“…1 กระบวนการในการผลิ ตอาหารสุ นั ขชนิ ดแห้ ง อาหารแห้ งเป็ นอาหารที ่ ได้ รั บความนิ ยมมากที ่ สุ ดในการให้ สุ นั ข มี การผลิ ตอาหารส าเร็ จรู ป ส าหรั บสุ นั ขเป็ นครั ้ งแรกในปี ค.ศ.1860 ในประเทศอั งกฤษ ขณะที ่ อาหารชนิ ดเปี ยกเกิ ดขึ ้ นใน ภายหลั งในปี ค.ศ.1922 (Corbin, 2003) ส าหรั บนิ ยามของอาหารแห้ งส าหรั บสุ นั ข คื อ ต้ องมี ปริ มาณ ความชื ้ นในอาหารน้ อยกว่ าร้ อยละ 15 โดยน ้ าหนั กของอาหาร โดยทั ่ วไปในท้ องตลาดจะมี ความชื ้ น อยู ่ ที ่ ร้ อยละ 8 ถึ งร้ อยละ 10 เป็ นอาหารที ่ มี ความคงตั วได้ ดี ที ่ อุ ณหภู มิ ห้ อง (Dzanis, 2003) องค์ ประกอบของอาหารสุ นั ขชนิ ดแห้ งโดยทั ่ วไปจะประกอบด้ วย แป้ ง ร้ อยละ 24 ถึ งร้ อยละ 50 โปรตี นจากสั ตว์ ร้ อยละ 5 ถึ งร้ อยละ 25 โปรตี นจากพื ช ร้ อยละ 10 ถึ งร้ อยละ 30 ไขมั น ร้ อยละ 5 ถึ ง ร้ อยละ 15 สารเสริ มในอาหาร เช่ น วิ ตามิ น แร่ ธาตุ สารแต่ งกลิ ่ นรส ร้ อยละ 1 ถึ งร้ อยละ 5 และน ้ า ร้ อยละ 5 ถึ งร้ อยละ 15 (Devahastin, 2010) ขั ้ นตอนในการผลิ ตอาหารที ่ ส่ งผลต่ อกลิ ่ นรส เริ ่ มตั ้ งแต่ ขั ้ นตอนการเลื อกวั ตถุ ดิ บ แหล่ งของโปรตี นและไขมั นที ่ แตกต่ างกั นส่ งผลต่ อกลิ ่ นรสในอาหารที ่ แตกต่ างกั น ขั ้ นตอนการผ่ านความร้ อนก่ อนอั ดเม็ ดที ่ ช่ วยเปลี ่ ยนคุ ณสมบั ติ ของกลิ ่ นในวั ตถุ ดิ บ การ ผ่ านส่ วนผสมที ่ อุ ณหภู มิ 95 องศาเซลเซี ยส ก่ อนเข้ าเครื ่ องอั ดเม็ ดเพื ่ อช่ วยเพิ ่ มกลิ ่ นรสในวั ตถุ ดิ บได้ แต่ ต้ องควบคุ มความร้ อนและเวลาไม่ ให้ ไล่ ความชื ้ นในอาหารออกเร็ วไปจนเนื ้ ออาหารด้ านนอก แห้ งแข็ งไม่ น่ ากิ น การเคลื อบพื ้ นผิ วอาหารด้ วยสารแต่ งกลิ ่ นรส ไปจนถึ งขั ้ นตอนของการเก็ บรั กษา ในบรรจุ ภั ณฑ์ ต้ องไม่ ให้ อากาศภายนอกเข้ าสั มผั สกั บอาหาร เพราะไขมั นในอาหารจะเกิ ดการท า ปฏิ กิ ริ ยากั บออกซิ เจนในอากาศจนหื นและส่ งผลเสี ยต่ อกลิ ่ นรส กระบวนการในการผลิ ตอาหาร สุ นั ขชนิ ดแห้ ง ดั งแสดงในรู ปที ่ 2.7 กระจายตั วอย่ างทั ่ วถึ ง ดั งแสดงในรู ปที ่ 2.8 โดยอาหารเม็ ดที ่ ผ่ านกระบวนการเคลื อบจะอาศั ยไขมั น ที ่ เป็ นของเหลวเคลื อบเม็ ดอาหารช่ วยในการยึ ดเกาะสารแต่ งกลิ ่ นรสที ่ เป็ นผงของแข็ งให้ ติ ดอยู ่ ที ่ ชั ้ นนอกสุ ด (Hand, 2010) รู ปที ่ 2.8 ถั งเคลื อบสารแต่ งกลิ ่ นรสในกระบวนการผลิ ตอาหารสุ นั ขชนิ ดแห้ ง ที ่ จะมี การหมุ นอยู ่ ตลอดเวลาและมี หั วฉี ดพ่ นสารเคลื อบดั งที ่ แสดงในลู กศร (Hand, 2010) 2.5.2 เทคโนโลยี ไมโครเอนแคปซู เลชั น เทคโนโลยี การเอนแคปซู เลชั นส าหรั บอุ ตสาหกรรมอาหารนิ ยมน ามาใช้ ในการเคลื อบและ ควบคุ มการปลดปล่ อยของ สารถนอมอาหาร สี ผสมอาหาร สารแต่ งกลิ ่ นรส สารต้ านอนุ มู ลเสรี เอนไซม์ สารอาหาร หรื อกรดด่ างในอาหารเป็ นต้ น เพื ่ อประโยชน์ ในการแยกสารที ่ ถู กเคลื อบออก จากสภาพแวดล้ อมที ่ มี ความชื ้ น กรด ด่ าง ออกซิ เจน หรื อ สารอื ่ น เพื ่ อป้ องกั นไม่ ให้ เสื ่ อมสภาพหรื อ ถู กท าลาย ท าให้ สารไม่ เสี ยหายในระหว่ างกระบวนการแปรรู ป เพื ่ อควบคุ มการปลดปล่ อยสารใน ช่ วงเวลาที ่ ต้ องการ และเพื ่ อเปลี ่ ยนสถานะของสารจากของเหลวเป็ นของแข็ งและสามารถใช้ กั บ อาหารแห้ งได้ ดี ขึ ้ น (Karel & Langer, 1988) ทั ้ งนี ้ อนุ ภาคของสารที ่ ได้ จากการเอนแคปซู เลชั น หากมี ขนาดใหญ่ กว่ า 5,000 ไมโครเมตร เรี ยกว่ าอนุ ภาคแมคโคร ขนาดระหว่ าง 0.2 ถึ ง 5,000 ไมโครเมตร จะเรี ยกว่ าอนุ ภาคไมโคร และหากเล็ กว่ า 0.2 ไมโครเมตร จะเรี ยกว่ าอนุ ภาคนาโน(Baker, 1987) …”