1993
DOI: 10.1097/00002030-199301000-00025
|View full text |Cite
|
Sign up to set email alerts
|

Estimating HIV prevalence in Switzerland

Help me understand this report

Search citation statements

Order By: Relevance

Paper Sections

Select...
1
1

Citation Types

0
2
0
1

Year Published

1998
1998
2016
2016

Publication Types

Select...
4
3
1

Relationship

0
8

Authors

Journals

citations
Cited by 24 publications
(3 citation statements)
references
References 0 publications
0
2
0
1
Order By: Relevance
“…In addition, some of the nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NRTIs) used to treat HIV infection, such as didanosine, can cause FS [47], which has been linked to mitochondrial toxicity. NRTIs inhibit DNA polymerase (gamma) which is required for mtDNA replication, leading to a reduction in mtDNA [48].…”
Section: Drug-related Tubulopathymentioning
confidence: 99%
“…In addition, some of the nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NRTIs) used to treat HIV infection, such as didanosine, can cause FS [47], which has been linked to mitochondrial toxicity. NRTIs inhibit DNA polymerase (gamma) which is required for mtDNA replication, leading to a reduction in mtDNA [48].…”
Section: Drug-related Tubulopathymentioning
confidence: 99%
“…The results presented here differ in that short term (30 days) administration of PMPA at this dose was associated with acute renal failure in a small subset of animals and was more frequently associated with morphologic and biochemical evidence of renal dysfunction for up to 300 days following cessation of treatment. The reason for this difference is unknown, and since our cohort received combination therapy, it is possible that co-administration of the other NRTIs, d4T and FTC, may have potentiated the nephrotoxic effects of PMPA [18-21]. This cohort was also substantially older than the neonatal and juvenile animals previously examined.…”
Section: Discussionmentioning
confidence: 94%
“…นอกจากนี ้ ยั งมี การศึ กษาเกี ่ ยวกั บการท างานของไตที ่ ลดลงในคนไทยที ่ ไม่ ได้ ติ ดเชื ้ อเอชไอวี แต่ ได้ รั บยา ที โนโฟเวี ยร์ เพื ่ อป้ องกั นการติ ดเชื ้ อเอชไอวี ของ Martin M และคณะ พบว่ า อาสาสมั ครกลุ ่ มที ่ ได้ รั บยา ที โนโฟเวี ยร์ จ านวน 1,204 คน จากอาสาสมั ครทั ้ งหมด 2,413 คน ติ ดตามการท างานของไตที ่ 0 12 24 36 48 และ 60 เดื อน ตรวจพบการท างานของไตลดลงเมื ่ อเที ยบกั บกลุ ่ มควบคุ มอย่ างมี นั ยส าคั ญ ทางสถิ ติ เมื ่ อค านวณการท างานของไตด้ วยวิ ธี Cockcroft-Gault (p <0.001) และวิ ธี CKD-EPI (p =0.007) แต่ ไม่ แตกต่ างกั นย่ างมี นั ยส าคั ญทางสถิ ติ เมื ่ อค านวณด้ วยวิ ธี MDRD (p-value = 0.12) หลั งหยุ ดการใช้ ยาที โนโฟเวี ยร์ พบค่ าการท างานของไตในกลุ ่ มที ่ ได้ รั บยาที โนโฟเวี ยร์ น้ อยกว่ าค่ าการ ท างานของไตในกลุ ่ มที ่ ไม่ ได้ รั บยาที โนโฟเวี ยร์ อย่ างมี นั ยส าคั ญทางสถิ ติ (p-value <0.001) แต่ ค่ าการ ท างานของไตของกลุ ่ มที ่ ได้ รั บยาที โนโฟเวี ยร์ กลั บมาใกล้ เคี ยงกั บค่ าการท างานของไตในกลุ ่ มที ่ ไม่ ได้ รั บ ยาที โนโฟเวี ยร์ ไม่ พบความแตกต่ างอย่ างมี นั ยส าคั ญทางสถิ ติ (p-value = 0.12) (70) Pongpirul W และคณะ ได้ ท าการศึ กษาอุ บั ติ การณ์ ของการเกิ ดโรคไตเรื ้ อรั งในผู ้ ป่ วยไทยที ่ ติ ดเชื ้ อเอชไอวี โดยศึ กษา ในผู ้ ป่ วยที ่ ติ ดเชื ้ อเอชไอวี ที ่ มี ่ ค่ าการท างานของไตปกติ และได้ รั บยาต้ านไวรั สเอชไอวี สู ตรมาตรฐานจาก สถานพยาบาลหลายแห่ งในประเทศไทย ใช้ เกณฑ์ ของ KDIGO 2012 ในการวิ นิ จฉั ยโรคไตเรื ้ อรั ง (24) วิ เคราะห์ ข้ อมู ลความน่ าจะเป็ นสะสมของอุ บั ติ การณ์ การเกิ ดโรคไตเรื ้ อรั งโดยใช้ Kaplan-Meier estimation พบว่ า ผู ้ ป่ วย 96 คน จากผู ้ ป่ วยทั ้ งหมด 5,552 คน มี โรคไตเรื ้ อรั งมาก่ อนจะเข้ าสู ่ การศึ กษา และผู ้ ป่ วย 26 คน มี ข้ อมู ลไม่ ครบ จึ งตั ดออกจากการศึ กษาไป เหลื อผู ้ ป่ วยที ่ น ามาวิ เคราะห์ ข้ อมู ล 5,430 คน อายุ เฉลี ่ ยของผู ้ ป่ วยที ่ ติ ดเชื ้ อเอชไอวี ในการศึ กษานี ้ คื อ 39.87 ปี เป็ นผู ้ หญิ ง ร้ อยละ 41.52 และร้ อยละ 49.45 เป็ นกลุ ่ มรั กร่ วมเพศ ค่ าเฉลี ่ ยของระยะเวลาการติ ดตาม 49.41 เดื อน มี ผู ้ ป่ วยที ่ ติ ดเชื ้ อเอชไอวี เกิ ดโรคไตเรื ้ อรั ง 229 (ร้ อยละ 4.22) ในช่ วงระยะเวลาการติ ดตาม 22,035 คน-ปี อุ บั ติ การณ์ ของการเกิ ดโรคไตเรื ้ อรั ง 10.39 ต่ อ 1,000 คน-ปี ระยะเวลาเฉลี ่ ยของการเกิ ดโรไต เรื ้ องรั ง 26.40 (95% CI 24.44 ถึ ง 28.83) เดื อน Adjusted relative hazard เพิ ่ มขึ ้ นร้ อยละ 8.60 และร้ อยละ 10.30 สั มพั นธ์ กั บอายุ ที ่ เพิ ่ มขึ ้ นในแต่ ละปี และปริ มาณไวรั สเอชไอวี ที ่ เพิ ่ มขึ ้ นทุ ก log 10 copies ต่ อมิ ลลิ ลิ ตร ตามล าดั บ นอกจากนี ้ พบว่ า ผู ้ ป่ วยที ่ ติ ดเชื ้ อเอชไอวี และมี โรคเบาหวานร่ วมด้ วย มี adjusted relative hazard 3.37 (p-value <0.001) และผู ้ ป่ วยที ่ ติ ดเชื ้ อเอชไอวี และมี โรคไขมั น ในเลื อดสู งร่ วมด้ วย มี adjusted relative hazard 1.41 (p= 0.014) ตามล าดั บ จากข้ อมู ลใน การศึ กษานี ้ พบว่ า อุ บั ติ การณ์ ของการเกิ ดโรคไตเรื ้ อรั งในผู ้ ป่ วยไทยที ่ ติ ดเชื ้ อเอชไอวี ต่ ากว่ าอุ บั ติ การณ์ ของการเกิ ดโรคไตเรื ้ อรั งในคนผิ วขาวและคนที ่ ไม่ ใช่ คนแถบเอเชี ยตะวั นออกเฉี ยงใต้ โดยที ่ โรคเบาหวาน โรคไขมั นในเลื อดสู ง อายุ และปริ มาณไวรั สเอชไอวี เป็ นปั จจั ยส าคั ญที ่ มี ผลต่ อการเกิ ด โรคไตเรื ้ อรั ง (71) 3.2 ยาต้ านไวรั สเอชไอวี กลุ ่ ม Nucleoside reverse-transcriptase inhibitors มี การรายงานเกี ่ ยวกั บภาวะการท างานของไตบกพร่ องที ่ เกิ ดจากยาต้ านไวรั สเอชไอวี กลุ ่ ม nucleotide reverse-transcriptase inhibitors ค่ อนข้ างน้ อย รายงานที ่ มี อยู ่ บ้ าง ได้ แก่ การเกิ ด ภาวะการท างานของไตบกพร่ องจากการใช้ ยาไดดาโนซี น (didanosine)(72,73) การใช้ ยาสตาวู ดี น (stavudine) ร่ วมกั บยาลามิ วู ดี น (lamivudine)(74) และการใช้ ยาอะบาคาเวี ยร์ (abacavir)(75) 3.3 ยาต้ านไวรั สเอชไอวี กลุ ่ ม Nonnucleoside reverse-transcriptase inhibitors ข้ อมู ลการเกิ ดภาวะการท างานของไตบกพร่ องจากการใช้ ยาต้ านไวรั สเอชไอวี กลุ ่ ม nonnucleoside reverse-transcriptase inhibitors ค่ อนข้ างน้ อย เพราะ ยาเนวิ ราปี น (nevirapine) และยาเอฟฟาไวเรนซ์ (efavirenz) มี ความปลอดภั ยต่ อไต จากการศึ กษาที ่ ผ่ านมา มี 1 รายงานที ่ แสดงให้ เห็ นถึ งภาวะการท างานของไตบกพร่ องแบบ interstitial nephritis ในผู ้ ป่ วยเอชไอ วี ที ่ แพ้ ยาเอฟ...…”
unclassified