การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโมเดลสมการโครงสร้างพหุระดับของความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียน 2) ตรวจสอบความสอดคล้องเชิงประจักษ์ของโมเดลสมการโครงสร้างพหุระดับของความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียน และ 3) นำเสนอแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับความฉลาดรู้ทางการเงินให้แก่นักเรียน ผู้วิจัยดำเนินการวิจัย 2 ระยะ ระยะที่ 1 การพัฒนาโมเดลสมการโครงสร้างพหุระดับความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย นักเรียน ครู และผู้บริหารโรงเรียน รวมทั้งสิ้น 2,073 คน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้น ตามภูมิภาคและขนาดโรงเรียน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ที่พัฒนาขึ้นให้มีคุณสมบัติการวัดเชิงจิตมิติ ส่วนระยะที่ 2 การศึกษาแนวทางการส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ นักเรียน ครู และผู้บริหาร รวม 22 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยายประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเบ้ ความโด่ง และค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ ส่วนการวิเคราะห์อิทธิพลระหว่างตัวแปรในการศึกษาครั้งนี้จะวิเคราะห์ด้วยโมเดลสมการโครงสร้างพหุระดับ (3 ระดับ) โดยใช้โปรแกรม MPLUS ผลการวิจัยมีดังนี้ 1.โมเดลสมการโครงสร้างพหุระดับของความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ประกอบด้วยโมเดลระดับนักเรียน ระดับห้องเรียน และระดับโรงเรียน ตัวแปรระดับนักเรียนประกอบด้วย การปลูกฝังด้านการเงินจากครอบครัว ประสบการณ์ทางการเงินของนักเรียน และความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียน โดยการปลูกฝังด้านการเงินจากครอบครัวเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนและอ้อมผ่านประสบการณ์ทางการเงินของนักเรียน ตัวแปรระดับห้องเรียน ประกอบด้วยความฉลาดรู้ทางการเงินของครูและกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูด้านการเงิน โดยความฉลาดรู้ทางการเงินของครูมีอิทธิพลต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูด้านการเงิน ในขณะที่ตัวแปรระดับโรงเรียนมีเพียงปัจจัยเดียวคือ การสนับสนุนของโรงเรียนด้านการจัดการเรียนรู้ทางการเงิน ซึ่งมีอิทธิพลต่อความฉลาดรู้ทางการเงินของครูและกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูด้านการเงินในระดับห้องเรียน นอกจากนี้กระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูด้านการเงินมีอิทธิพลต่อความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนในระดับนักเรียนด้วย 2.โมเดลสมการโครงสร้างพหุระดับของความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (chi? = 266.25, df = 140, p = .000, CFI = 0.979, TLI = 0.972, RMSEA = 0.021) ผลการวิเคราะห์พบว่า การปลูกฝังด้านการเงินจากครอบครัวมีอิทธิพลทางตรงต่อความฉลาดรู้ ทางการเงินของนักเรียนและประสบการณ์ทางการเงินของนักเรียนด้วยขนาด .616 และ .368 ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้การปลูกฝังด้านการเงินจากครอบครัวยังส่งอิทธิพล โดยอ้อมผ่านประสบการณ์ทางการเงินของนักเรียนไปยังความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนด้วยขนาด .337 โดยสรุปแล้วมีค่าอิทธิพลโดยรวมขนาด .953 ส่วนความฉลาดรู้ทางการเงินของครูมีอิทธิพลต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูด้านการเงินด้วยขนาด .618 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้กระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูด้านการเงินมีอิทธิพลต่อความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนด้วยขนาด .467 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ในขณะที่การสนับสนุนของโรงเรียนด้านการจัดการเรียนรู้ทางการเงินมีอิทธิพลต่อความฉลาดรู้ทางการเงินของครูด้วยขนาด .415 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.แนวทางการส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายตาม FTS Model ประกอบด้วย 1) ครอบครัวควรสนับสนุนประสบการณ์ทางการเงิน ในด้านการจัดการค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล ให้ได้ทดลองลงทุนอย่างง่ายและมีโอกาสได้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัล ปลูกฝังด้านการเงินผ่านการพูดคุยเรื่องการเงินและเป็นแบบอย่างการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การออมเงิน การลงทุน เป็นต้น 2) ครูจัดการเรียนการสอนด้านการเงินโดยใช้สื่อการสอนและแหล่งเรียนรู้ทางการเงินออนไลน์และสื่อโซเชียลมีเดีย ใช้สถานการณ์ทางการเงินจริงมาบูรณาการร่วมกับเนื้อหาบทเรียน ออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี และ 3) โรงเรียนต้องสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งทางการเรียนรู้ด้านการเงินจากชุมชนและหน่วยงานภายนอก และให้การสนับสนุนให้มีความฉลาดรู้ทางการเรียนให้มาก เพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้ดีจึงจะสามารถพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความฉลาดรู้ทางการเงินด้วย